3 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ จากการบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงในยุคที่มีการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 อย่างหนักจนได้กลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ของหลายๆ ประเทศ
ในยุคที่มีวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 อย่างหนักและรวดเร็วไปทั่วทุกมุมโลกอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หากจะนับเดือน นับปีกัน ก็ปาเข้าไป 2 ปีนิดๆ กันเข้าไปแล้วค่ะ ดังนั้นผู้ประกอบการต่างๆ รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของแต่ละองค์กรต่างก็ต้องงัดกลยุทธ์ต่างๆ มาเพื่อบริหารจัดการ กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกเช่นนี้ เพื่อให้สถานการณ์ที่จะมากระทบต่อองค์กรนั้นสามารถบรรเทา เบาบาง และมีผลกระทบต่อองค์กรของตนเองให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเองค่ะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานที่ท้าทายความสามารถที่ผู้บริหารทุกท่านต่างก็ต้องเผชิญกันแบบถ้วนหน้า กันเลยทีเดียวค่ะ หากผู้บริหารรายใดสามารถปรับตัวและนำกลยุทธ์ต่างๆ มาจัดการกับเจ้าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ได้อย่างรวดเร็วก็นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในเวลานี้ ก็เพื่อความอยู่รอดขององค์กรต่อไป และต้องให้ได้แบบยั่งยืนกันอีกด้วยค่ะ มาดูกันดีกว่าค่ะว่า 3 ขั้นตอนที่ว่านี้ มีอะไรกันบ้างน้า
ขั้นตอนที่ 1.) ตั้งเป้าหมายที่ใช่ และสานพลังไปให้ถึง สู่จุดหมายเดียวกัน (develop the right focus)

มาดูรายละเอียดของขั้นตอนที่ 1 กันก่อนนะคะว่า เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ ก่อนอื่นเลยเราต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่หลงประเด็น รวมทั้งต้องมีการจัดอันดับความสำคัญของเป้าหมายให้ชัดเจนและโปร่งใส สามารถติดตามและประเมินผลได้ อาทิเช่น องค์กรของเรามีทรัพยากรที่จำเป็นพร้อมที่จะรองรับต่อการบริหารจัดการกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้หรือไม่, ระยะเวลาในการเริ่มดำเนินการไปจนถึงระยะเวลาที่สิ้นสุด, ผลตอบแทนจากการลงทุน, ผลกระทบที่คาดว่า อาจจะเกิดขึ้น, ระยะเวลาคืนทุน, และติดตามความคืบหน้า โดยอาจจัดประชุม 2 สัปดาห์ครั้ง หรือว่า เดือนละหนึ่งครั้ง เพื่อ update ผลสำเร็จว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ค่ะ
ขั้นตอนที่ 2). รังสรรค์สภาพแวดล้อมให้ทุกคนในทีมรู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ( create the right environment)

ส่วนรายละเอียดของขั้นตอนที่ 2 ก็มีดังนี้ค่ะ: องค์กรจะต้องมีการสื่อสารให้ทุกคนในองค์กรเห็นภาพเป้าหมายขององค์กรที่ชัดเจนร่วมกัน ความสำเร็จใดๆ ขององค์กรจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากองค์กรไม่ได้รับ ความร่วมมือ ร่วมใจจากทุกๆ คน ในองค์กร ทั้งนี้ เป้าหมายความสำเร็จขององค์กร ก็เพื่อให้ทุกคนในองค์กรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมที่จะเติบโต และก้าวเดินไปด้วยกันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ ผู้นำองค์กรจะต้องมีการจัดหาทรัพยากรที่จะมาสนับสนุนในการดำเนินงานให้ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่อาจจัดให้มีการฝึกอบรมเพิ่มพูนทักษะความรู้ต่างๆ ให้กับพนักงานในองค์กร แต่หากผู้บริหารไม่ได้ให้อำนาจอย่างแท้จริง กับพนักงานในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ก็อาจสร้างความรู้สึกถึง ความไม่ไว้วางใจ ได้เช่นกัน

ความรู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น สามารถสร้างได้ด้วยการที่ผู้บริหารขององค์กรพยายามปฎิบัติกับทีมงานทุกคนให้เหมือนกับโค้ช ที่แนะนำทีมนักกีฬาประมาณนั้นเลยค่ะ คอยช่วยชี้แนะ แนะนำ สอน และให้กำลังใจ รวมทั้งชื่นชมหากทีมงานของเราทำงานได้ดีเป็นต้นค่ะ โดยอย่าได้หาทำ ปฎิบัติตัวเป็นนายคอยชี้นิ้วสั่งการลูกน้อง ลูกทีมอยู่ฝ่ายเดียวตลอดเวลา โดยไม่ฟังความคิดเห็น หรือการเรียกร้องใดๆ จากพนักงาน เพราะนั่นย่อมหมายถึง ผู้บริหารขององค์กรจะไม่ได้ใจลูกน้อง อีกทั้งอาจเกิดกระแสต่อต้าน หรือเป็นปรปักษ์กันไปเลยก็เป็นได้ค่ะ
ขั้นตอนที่ 3). สร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง มีความรู้ความสามารถและมากด้วยประสบการณ์มาร่วมบริหารจัดการกับความเปลี่ยนแปลงที่พร้อมจะถาโถมเข้ามา ได้อย่างต่อเนื่อง (build the right team)

การสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง นอกจากจะต้องคัดสรรผู้ที่มีความรู้ความสามารถและมากด้วยประสบการณ์ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานแล้ว คุณสมบัติที่จำเป็นที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันของทีมงานก็คือ
1). จะต้องเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
2). มีความรับผิดชอบสูง เห็นอะไรที่ควรทำ ต้องทำเลย ไม่ต้องรอให้มีการสั่งการ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่เป็นคนนิ่งดูดายนั่นเองค่ะ
3). ต้องเป็นคนที่ทัศนะคติที่ดี มองโลกในแง่ดี คิดบวก อาทิเช่น ทุกอย่างต้องมีทางออกเสมอ อย่าท้อถอยหรือหมดกำลังใจไปเสียก่อน เป็นต้นค่ะ

ท่ามกลางวิกฤตการณ์ต่างๆ ย่อมมีสิ่งที่ท้าทายความสามารถของผู้นำองค์กร, ผู้นำชุมชน, ผู้นำประเทศ และองค์กรต่างๆในระดับโลกอยู่เสมอ ขอเพียงแต่พวกเราทุกคนพร้อมใจกันที่จะลุกขึ้นสู้อย่างมีสติ และรอบคอบ ให้ทันต่อสถานการณ์โลกที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา (จัดไปค่ะ)
แหล่งที่มา enterprisersproject.com