ภัยเงียบ จากการบริโภคโซเดียมที่มากเกินความจำเป็น
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!
องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แถลงข่าวผ่านทางสำนักสื่อต่างๆ ไปเมื่อวันพุธที่ 13 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยมีใจความสำคัญ เกี่ยวกับเรื่องของการบริโภคโซเดียมที่มากเกินความจำเป็นต่อร่างกาย ทั้งแบบที่ผู้บริโภครู้ตัว และแบบที่ผู้บริโภคไม่คาดคิด มันคือภัยเงียบที่พร้อมจะโจมตีสุขภาพร่างกายของมนุษย์ได้ตลอดเวลากันเลยทีเดียว
ผู้บริโภคบางรายอาจจะมานั่งคิด นอนคิดว่า ตัวเรานั้นก็ไม่ค่อยจะใส่เกลือในอาหาร
ที่เราปรุงที่บ้านนี่นา รวมทั้งยังไม่นิยมรับประทานอาหารที่มีรสเค็มกันอีกด้วย ก็
เพราะว่าการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด หรือเค็มมากจนเกินไป มันจะนำมาซึ่ง
โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, โรคไต เป็นต้น
คุณผู้อ่านเชื่อมั๊ยคะว่า โรคที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ถือเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่ติดอันดับต้นๆ ที่ได้คร่าชีวิตประชากรชาวอเมริกันในแต่ละปีเป็นจำนวนมากค่ะ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สตีเฟ่น (Dr. Stephen Juraschek) จากคณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังในเรื่องของการบริโภคโซเดียมกับโรคความดันโลหิตสูง โดยได้ยกตัวอย่างถึง การบริโภคน้ำสลัดจำนวน 2 ช้อนโต๊ะที่ใส่ลงบนผักและผลไม้ในจานโปรดของคุณ ก็เท่ากับผู้บริโภคได้บริโภคโซเดียมไปมากกว่า 23 % (มันเปอร์เซ็นต์สูงขนาดนี้เชียวหรือ อาจจะเป็นคำถามของใครหลายๆ คน ใช่มั๊ยล่ะคะ) โดย ดร. สตีเฟ่น ยังได้กล่าวถึง “คนไข้ส่วนใหญ่ของหมอ ไม่ได้มีการเติมเกลือในมื้ออาหารด้วยซ้ำ แต่คนไข้ไม่รู้ตัวว่าใน ขนมปังโรล, ผักกระป๋อง, รวมทั้งอกไก่ ที่พวกเขาชอบรับประทานกันอยู่นั้น มันคือ อีกหนึ่งภัยเงียบ ของประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้”

ดร. เจเน็ต วู้ดค็อก (Dr. Janet Woodcock) – รักษาการในตำแหน่งกรรมาธิการขององค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้กล่าวถึง “เรื่องอกไก่ นั้นได้มีการใส่เกลือเข้าไปด้วย ในขั้นตอนของการผลิต เพื่อให้อกไก่นั้นดูอ้วนท้วนสมบูรณ์น่ารับประทาน และอีกหนึ่งความจริงที่ผู้บริโภคควรทราบด้วยเช่นกันก็คือ โซเดียมหรือเกลือมันมีอยู่ในทุกที่ เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอาหารประเภทควบคุมน้ำหนัก” (ท่านผู้อ่าน อาจมีคำถามอยู่ในใจใช่มั๊ยล่ะคะว่า แล้วเราจะทานอะไรกันดีล่ะเนี่ยที่จะไม่ทำร้ายสุขภาพตัวเองไปมากกว่านี้ )


“เชื่อได้เลยว่า ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่า ขนมปัง จะมีส่วนผสมของโซเดียมสูงที่ผู้บริโภคนิยมรับประทาน นอกจากนี้ ยังมีซอสมะเขือเทศ รวมทั้งน้ำสลัดที่ราด
บนแผ่นขนมปัง ก็ยิ่งไปเพิ่มปริมาณของโซเดียมเข้าสู่ร่างกายของผู้บริโภคกันอีกด้วย ส่วนผสมเหล่านี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ทราบ จึงไม่ทันได้ระวังและตั้งตัว เลยไประแวดระวัง เช่น จะไม่ใส่เกลือในปริมาณมากขณะปรุงอาหาร รวมทั้งจะไม่
ใส่เกลือเพิ่มอีก ในขณะที่รับประทานอาหารที่บ้าน หรือที่ร้านอาหาร ก็ตามทีผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็จะคิดว่า ฉันก็ควบคุมการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัดแล้วนี่นา ก็น่าจะปลอดภัย จากโรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, โรคไต ได้แบบสุดๆ แล้วน้า”

องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวในแถลงการณ์เรื่องคำแนะนำสำหรับการบริโภคปริมาณโซเดียมต่อวัน “ขอให้ลดการบริโภคปริมาณโซเดียมจาก จำนวน 3,400 มิลลิกรัม ต่อวัน ให้ลดลงมาเหลือที่ 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน (หรือคิดเป็นลดปริมาณการบริโภคโซเดียมไป 12 %) ให้ได้ภายใน 2.5 ปี
ข้างหน้า ”

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา สำนักโภชนาการ ของสหรัฐอเมริกา ได้เคยนำเสนอร่างคำแนะนำในการบริโภคปริมาณโซเดียมต่อวันไว้ที่ 2,300 มิลลิกรัมหรือคิดเป็นจำนวนเพียง 1 ช้อนชาเท่านั้น ในขณะที่สมาคมโรคหัวใจของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาระบุด้วยว่า ประชาชนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงนั้นไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวันค่ะ
โดยสรุปแล้ว การบริโภคโซเดียมสูงสุดโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายจะอยู่ที่ 2,300 มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้นนะค่ะ หากบริโภคโซเดียมเกินจากปริมาณที่ระบุไว้ก็จะก่อให้เกิดการเสื่อมของไต เพราะไตทำหน้าที่ในการขับโซเดียม และเมื่อไตทำงานได้ลดลงก็จะทำให้ร่างกายของมนุษย์มีการคั่งของเกลือ ทำให้เกิดการบวมน้ำ ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง และเกิดโรคไต รวมทั้งโรคหัวใจกันอีกด้วยค่ะ ดังนั้นผู้บริโภคต้องหันกลับมาตระหนักและดูแลใส่ใจในเรื่องของอาหารปลอดภัยต่อสุขภาพหากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะนั่นเองค่ะ
แหล่งที่มา edition.cnn.com